Saturday, June 28, 2014

แอบดู อินทา ที่ อินเล

 
   ภาคต่อจากมัณฑะเลย์ Asian Wings Airline พาเรามาถึงรัฐฉาน (Shan State) ซึ่งอยู่ห่างจากมัณฑะเลย์แค่ประมาณ 250 กิโลเมตรเองค่ะ แต่เพราะถนนหนทางยังไม่สะดวกสบาย บินคือทางเลือกที่ดีที่สุดของเราค่ะ  มาถึงสนามบินเฮโฮแล้วก็จัดแทกซี่ไปส่งที่ทะเลสาบอินเลเลยค่ะ เพราะพวกเรามีเวลาไม่มากสำหรับทริปพม่านี้ก็เลยไม่ได้นอนในเมืองตองยี

เก็บตก: หาอ่านหลายๆที่มาบอกว่ารัฐฉานห่างจากมัณฑะเลย์ 140 ก.มบ้าง 330 ก.มบ้าง แต่แอนดูจากแผนที่ในกูเกิลบอกว่า 250 ก.มค่ะ ตามภาพเลย
แผนที่จาก Google ใช้อ้างอิงได้หรือเปล่าเอ่ย

สนามบินเฮโฮ..เมืองตองยี..รัฐฉาน..พม่า

ลำนี้บินดี บินนุ่ม 

บรรยากาศหน้าสนามบินค่ะ ถ้าหิวก็มีเท่าที่เห็นนะ

เวลาที่แสนยากลำบาก ต่อรองราคาแทกซี่

ป้ายสนามบินเฮโฮ (Heho Airport)

เล่าสู่กันฟัง: เมืองตองยี (Taunggyi) คือเมืองหลวงของรัฐฉานค่ะ ในเมืองตองยีมีตลาดกลางคืนชื่อตลาดเฮโฮ เขาว่ากันว่าคล้ายกับไนท์บาซาร์ที่เชียงใหม่ ใครมีโอกาสนอนในเมือง ถ่ายรูปมาฝากด้วยนะค่ะ

ประชากรส่วนใหญ่ของที่นี่เป็นชาวไทใหญ่ ที่นี่อากาศดีมากช่วงที่เราไป แต่คนพื้นที่บอกว่าอากาศดีแบบนี้ทั้งปีค่ะ อาจเป็นเพราะท่ี่นี่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,400 เมตร ระหว่างทางไปทะเลสาบอินเลไม่ต้องใช้แอร์ในรถเลยค่ะ จริงๆก็ไม่รู้ว่ามีหรือเปล่า ระยะทางประมาณ 25 กิโลเมตร ขึ้นเขา เลาะแนวเขาไปเรื่อยๆเพลินๆแป็บๆก็ถึงค่ะ

พวกเรามาถึงท่าเรือเพื่อที่จะต่อเรือไปที่โรงแรม ที่ท่าเรือเป็นทั้งท่าขนส่งสินค้าจากหมู่บ้านชาวอินทาในทะเลสาบมาส่งเพื่อขายในตัวเมืองแล้วก็เป็นท่าเรือสำหรับพวกเราด้วยค่ะ เขาจะมีแพคเกจเรือให้เราเลือก แบบทั้งวันคือพาไปส่งโรงแรม รอพาไปดูหมู่บ้านกลางน้ำ ไปดูอุตสาหกรรมช้าวบ้าน ไปเที่ยววัด แล้วก็มารับวันกลับด้วย จำราคาไม่ได้ค่ะแต่ไม่ต้องห่วงเพราะเขามีราคามาตรฐาน ไม่ถึงกับช๊อคค่ะ
ป้ายยินดีต้อนรับสู่อินเล กับเด็กชายบนรถม้า

ท่าเรือขนส่งสินค้าจากทะเลสาบอินเล สู่ ตองยี

เฮียแกมีแผนที่ประกอบการขายบริการเรือ เอาจริงมากๆค่ะ

ท่าเรือเริ่มคึกคักมากขึ้นแล้ว สินค้ามาถึงท่าพร้อมๆกัน

ได้เวลาลงเรือไปพักที่โรงแรมกันซะที เฮียแกปิดกายขายเร็วดี
เราจองโรงแรมชื่อ Inle Resort อยู่กึ่งกลางระหว่างหมู่บ้านกับท่าเรือค่ะ นั่งเรือไปประมาณ20นาทีก็ถึง ระหว่างทางก็จะเจอชาวบ้านมาเก็บวัชพืชน้ำใส่เรือเพื่อนำไปให้ในฤดูกาลปลูกต่อไป อินเลรีสอร์ทเป็นรีสอร์ทบนบกค่ะ แต่บรรยากาศผ่อนคลายมากๆ เป็นโรงแรมสี่ดาวหนึ่งในไม่กี่แห่งของที่นี่
ยินดีต้อนรับสู่ Inle Lake Wildlife Sanctuary

บ้านเรือนเรียบง่ายริมคลอง

เรือขนส่งสินค้าวิ่งสวนทางไปมาตลอดเวลา

หาปลา เลี้ยงชีพ ในทะเลสาบอินเล

เก็บวัชพืช วัสดุหลักสำหรับการเพาะปลูกชองชาวอินทา

ถึงแล้วค่ะอินเลรีสอร์ท

สถาปัตยกรรมแบบพม่า ใช้ไม้เป็นวัสดุหลัก
เข้าเช็คอินที่โรงแรม พนักงานต้อนรับด้วยรอยยิ้ม พาไปส่งถึงห้องพัก แถมแวะให้เก็บชมพู่ในสวนระหว่างทางด้วยค่ะ ห้องพักมีหลายแบบค่ะแต่ของพวกเราเป็นห้องวิวสวนเหตุเพราะงบประมาณมีเท่านี้ ^_^ จองเป็นห้องสองเตียงแต่ที่ริมหน้าต่างมี เดย์เบด ให้ด้วยเราเลยโชคดีไปเลย
บริเวรห้องพักที่หันหน้าเข้าหาทะเลสาบอินเล

พนักงานต้อนรับที่กระตือรือร้นยิ้มหวานๆ

ห้องพักวิวสวนของอินเลรีสอร์ท
เข้าห้องพักได้ไม่นานก็ต้องไปต่อแล้วค่ะ พี่คนขับเรือรออยู่ที่หน้าโรงแรมเพื่อที่จะพาเราไปดูวิ๔ีชิวิตชาวบ้านแล้วที่สำคัญคือ อาหารเที่ยงค่ะ เค้าว่ากันว่ามาที่นี่ต้องกินปลา "ในน้ำมีปลา"หลังจากถ่ายรูปหน้าโทรมๆไปได้ร้อยกว่าช็อตก็บอกลาห้องพัก ไว้เจอกันเย็นนี้นะ
สังเกตุในเรือนะคะ ชูชีพสัสันจัดจ้านมาก เก้าอี้นั่งแบบมีพนักหนึ่งตัวหนึ่งคน สบายกว่าเรือหางยาวบ้านเราเยอะ
ดูเหมือนว่าวันนี้อากาศจะดี ท้องฟ้าโปร่งเหมาะกับการนั่งเรือเที่ยว ระยะทางจากโรงแรมไปหมู่บ้านเท่าไหร่ก็ไม่ทราบค่ะเพราะหลับๆตื่นๆตลอดเลย ตื่นเช้าเกือบทั้งทริป :( แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อยากหลับตาเลยค่ะเพราะวิวที่นี่สวยมาก พื้นน้ำใสๆ วัชพืชเขียวๆ ภูเขาไกลๆเป็นทิวแถมแถมด้วยท้องฟ้าแบบนี้ หลับไม่ค่อยลงค่ะ นั่งไปสักพักผ่านโรงแรมขนาดใหญ่หลายที่เหมือนกันค่ะก่อนจะถึงหมู่บ้านของชาวอินทา

ทะเลสาบอินเลนี้เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศพม่า มีพื้นที่ประมาณ 116 ตารางกิโลเมตรซึ่งน้ำจืดเหล่านี้ก็มาจากน้ำบนภูเราที่รายล้อมพวกเขาไว้นั่นล่ะค่ะ
อินทา (Intha) ในภาษาพม่าแปลว่า ลูกทะเลสาบ ว่ากันว่าเดิมนั้นชาวอินทา (Intha) ก็เป็นชาวบ้านที่อาศัยอยู่บนบกที่เมืองทวาย (Dawei) ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของรัฐฉานประมาณ 800 กิโลเมตร พวกเขาประมาณเจ็ดหมื่นคนต้องอพยบหนีสงครามระหว่างไทยกับพม่าในช่วงกลางปีพุทธศักราช 2300 โดยมาตั้งถิ่นฐานที่ทะเลสาบอินเลแห่งนี้ ชุมชนของชาวอินทามีอยู่สี่เมืองหลักๆ แบ่งเป็นหลายๆชุมชนค่ะ ทั้งที่อยู่ในทะเลสาบและหมู่บ้านรอบๆ
น้ำ วัชพืช บ้านเรือน วัด = ชาวอินทาที่อินเล

เอ้ามามา มาช่วยพี่แกเก็บวัชพืชน้ำไปทำสวนหน่อย

บ้านไม้ไผ่สานกั้น ไม้ไผ่ปล้องเป็นเสา หลังคาหญ้า ปลูกเรียงรายเป็นระเบียบ

บ้านหลังไกลออกไปเริ่มใช้ไม้เป็นผนังแล้วค่ะ 

บ้านเรือนที่ดูกี่ทีก็ไม่เบื่อ
หลังจากนั่งเรือ ถ่ายรูปแล้วความหิวก็เข้ามาเยือน พี่คนขับเรือก็จัดร้านนี้ให้ค่ะ Nice Restaurant แล้วพวกเราก็ไม่พลาดสั่งปลามาลิ้มลอง มันอร่อยมากค่ะ อร่อยจนต้องสั่งสองจานเลย แต่อาหารพื้นเมืองที่นี่นอกจากปลาแล้วยังมี Htamin Jin หน้าตาเหมือนข้าวทอดซึ่งหมักด้วยวัตถุดิบหลายอย่าง กินคู่กับเต้าหู้ทอดและน้ำพริก แต่ที่เล่ามาเรื่อง Htamin Jin นี่ไม่ได้ลองเองนะค่ะ
ระหว่างทานอาหารเที่ยงก็มีชาวบ้านพายเรือผ่านไปผ่านมาพร้อมวัตถุดิบในการจักสานซึ่งคนที่นี่มีฝีมือด้านนี้อยู่แล้วค่ะเช่่นหมวก ผ้าต่างๆ เดี๋ยวค่อยไปดูกันต่อนะ
ร้านอาหารเที่ยงที่ทะเลสาบอินเลของพวกเรา

ว่าแต่เขาจะเอาไปทำอะไรน๊า

พายเรือด้วยขาข้างเดียวไม่พอค่ะ พี่แกถกโสร่งด้วย เทห์ไม่หยอก

ปลาที่พร่ำโฆษณามานาน อร่อยล้ำ

ผู้หญิงนั่งพายเรือค่ะ เขาไม่ยิงเรือ

ฝนเริ่มมาแล้ว จ้ำๆกันหน่อย

พวกเขาเรียนรู้ที่จะดำรงชีวิตอยู่ในน้ำ ทำเกษตรอินทรีย์ ใช้วัชพืชน้ำทุกชนิดที่หาได้มาแทนดินจำพวกผักตบชวาซึ่งถือว่าเป็นวัชพืชตัวร้าย สาหร่าย อ้อ พวกเขาจะเก็บสาหร่ายที่อยู่ลึกลงไปใต้น้ำค่ะ อาจจะเพราะพวกนั้นเริ่มย่อยสลายทำให้มีแร่ธาต่มากว่าพวกที่ยังสดใหม่บนผิวน้ำ หลังจากได้แล้วก็จะขนส่งโดยเรือ (แน่แหละเนอะก็ที่นี่คือทะเลสาบนิ) พวกเขาเอาไปทำเหมือนเรายกร่องแปลงผักบนบกแต่ที่นี่คือลอยน้ำโดยใช้ไม้ไผ่ในการตรึงให้หญ้าทั้งหมดอยู่ในตำแหน่งที่เราต้องการ ความหนาประมาณหนึ่งเมตร สิ่งที่ปลูกก็มีหลายอย่างค่ะแต่ที่เห็นจะสะดุดตาที่สุดก็คือมะเขือเทศ

หลังจากอาหารเที่ยงพวกเราก้ไปต่อที่บ้านหัตถกรรมใยบัวซึ่งมีเป็นสินค้าที่มีชื่อเสียงที่นี่ แต่ราคาของผ้าทอใยบัวนี่ฟังแล้วอาจหงายหลังได้ค่ะ ผ้าพันคอผืนละประมาณ 5,000 บาท ส่วนเสื้อผ้าฝ้ายหรืออื่นๆก็พอซื้อได้อยู่นะคะ
ร้านนี้ที่ทุกคนต้องไป เพราะพี่เรือแกจะพาไป 

ป้าก็ทอไปบ้างหยุดไปบ้าง

ผืนนี้ สนนราคาที่ห้าพันบาท ใครไปก็ซื้อมาฝากกันบ้างนะ

ปั่นบ้างหยุดบ้างตามธรรมเนียม

อุปกรณ์ประกอบการแสดงน้อยไปหน่อยค่ะสำหรับวันนี้
ขากลับก็ผ่านบรรยากาศเดิมๆ แต่สวยนะค่ะ พี่เรือก็พาไปวัด ความรู้เกี่ยวกับวัดนี้น้อยมากค่ะแต่จะพยายามระลึกถึงวันเกิดเหตุให้ได้มากที่สุดนะ
ผู้หญิงนั่งพาย
วัดนี้คนไทยจะคุ้นในชื่อวัดบัวเข็ม ซึ่งมีที่มาจากพระบัวเข็มค่ะ ทว่าที่เราเห็นในปัจจุบันนี้ไม่เหลือเค้าเก่าไว้เลยเพราะพลังศรัทธาจากผู้คนที่นำแผ่นทองมาปิดจนไม่เห็นองค์พระดังรูปข้างล่างค่ะ ไม่อนุญาตให้ผู้หญิงเข้าไปด้านในด้วยแต่โชคดีที่ทริปเรามีผู้ชายหนึ่งคนเลยได้ภาพนี้มาค่ะ ที่นี่จะมีงานแห่พระบัวเข็มทุกปีซึ่งจัดขึ้นก่อนออกพรรษา คล้ายๆพิธีชักพระบ้านเราค่ะ พิธีเริ่มต้นที่วัดผ่องตออูนี้โดยเชิญพระบัวเข็มสี่องค์ออกไปตามหมู่บ้านต่างๆ ซึ่งแต่ละหมู่บ้านจะจัดเตรียมเรือและฝีพายไว้รับช่วงต่อจนรอบหมู่บ้าน ท้ายที่สุดก็กลับถึงวัดใช้เวลา18วันค่ะ เรือพิธีที่ใช้แห่ชื่อว่าเรือการะเวก
พระบัวเข็มหรือพระอุปคุตนี้มีทั้งหมด 5 องค์แต่ในพิธีจะมีแค่ 4 เพราะชาวบ้านเชื่อกันว่าถ้าอันเชิญไปหมดจะทำให้เกิดอาเพศได้เช่นเรืออาจจะล่ม เชื่อกันว่าพระอุปคุตนี้เดิมทีจำศีลอยู่ที่สะดือทะเลค่ะ

การพายเรือของที่นี่แน่นอนว่าต้องพายด้วยขาข้างเดียว ลองนึกภาพนะค่ะว่าในเรือหนึ่งลำที่เต็มไปด้วยฝีพายมากว่า 20 คน ยืนพายเรือด้วยขาข้างเดียวกันพร้อมๆกันจะสวยงสมขนาดไหน

เล่าสู่กันฟัง: การที่ผู้ชายยืนพายเรือนั้นก็เพื่อวิสัยทัศน์ที่ยาวไกลและลึกด้วยค่ะ ที่ว่าลุกนี้หมายถึงสามารถมองเห็นใต้น้ำได้ดีกว่าการนั่งพายเพราะอาจจะไปชนเข้ากับพวกอ้อน้ำทำให้เกิดอันตราย เรือล่มได้
พระบัวเข็มหรือพระอุปคุตมีทั้งหมาดห้าองค์

วัดพระบัวเข็มหรือวัดป่าวต่ออู

เรือการะเวกที่ใช้ในพิธีแห่พระบัวเข็ม
ขากลับพวกเราผ่านแปลงปลูกผักของชาวบ้าน ช่วงที่เราไปนั้นเขาเก็บผลผลิตไปเกือบหมดแล้ว ภาพเลยไม่สวยเท่าไหร่ค่ะ ปัญหาที่ชาวบ้านอินทากำลังประสบอยู่คือขยะที่มาจากแปลงผักซึ่งก็คือส่วนที่ใช้ำแปลงผักนี่เอง มันเกาะตัวกันจนแข็งหลังใช้งานทำให้เกิดน้ำเสีย

ปัจจุบันน้ำที่ทะเลสาบแห่งนี้ไม่เหมาะกับการบริโภคแล้วค่ะหลังจากที่มีการวัดค่าแร่ธาตุต่างๆรวมถึงแบคทีเรีย เรานักท่องเที่ยว เป็นส่วนหนึ่งที่ก่อให้เกิดมลพิษทางน้ำ เราต้องช่วยชาวบ้านอีกแรงนะค่ะ ไม่ทิ้ง ท่องไว้ค่ะ ไม่ทิ้งอะไรเลยลงน้ำ ให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบและปลอดภัยที่นี่ไปอีกนานแสนนาน
แปลงผักร้างแล้ว กลายเป็นขยะก้อนใหญ่

เด็กๆน่ารักมากๆ

แปลงมะเขือเทศทีี่มองหาผลไม่เจอแล้ว

ดูเหมือนจะเหงานะ พายคนเดียว ไม่รู้เมื่อไหร่จะถึงด้วย แต่คงเพลินกับธรรมชาติเนอะ
ถึงโรงแรมก็ได้เวลาอาหารค่ำ แต่เราไม่ได้กินอาหารค่ำค่ะเพราะอิ่มมากจากกลางวัน รวมถึงเงินที่มีเหลืออยู่น้อยนิดเต็มที รวมกันสี่คนเท่าที่เห็น เหลือต้องบินไปย่างกุ้งและอยู่ที่นั่นทั้งวันอีก นี่ล่ะค่ะเตรียมตัวน้อยก่อนเที่ยว ริจะรูดบัตรเครดิตที่พม่า ฟรุ้งฟริ๊งไปเลย
The Last Supper@Inle Lake
เจอกันที่ย่างกุ้งวันสุดท้ายนะค่ะ...คนชอบเที่ยว...

No comments:

Post a Comment