Wednesday, June 25, 2014

หนึ่งวันในมัณฑะเลย์ ตอนที่1

ณ.เมืองมัณฑะเลย์
   นัดรถเอาไว้ตีสามครึ่งค่ะ เราจะไปวัดมหามัยมุนีกัน ไปร่วมพิธีล้างพระพักต์ซึ่งจะมีขึ้นทุกๆเช้าตรู่ค่ะ ตีสามสี่สิบห้าเจ้าอาวาสจะถือกุญแจมาไขประตูเพื่อเริ่มพิธี ซึ่งระหว่างนั้นก็จะมีวงมโหรีเล่นสดเพื่อบอกกล่าวให้รู้ว่าจะเริ่มพิธีล่ะนะ ทำนอนนั้นค่ะ เท่าที่จำได้ก็จะมีการคลุมผ้า ถวายอาหารผลไม้ต่างๆ เปลี่ยนดอกไม้ใหม่ จากนั้นก็เริ่มล้างด้วยน้ำผสมทานาคาทั้งหมด 9 ครั้งด้วยขันทองสามครั้ง ขันเงินสามครั้งและขันธรรมดาอีกสามครั้ง เสร็จแล้วก็แปรงฟัน หลังจากนั้นก็เช็ดหน้า กว่าจะครบกระบวนความก็ล่วงเลยไปเป็นชั่งโมง

   พวกเราต้องตื่นเช้ามากแต่ไม่มีความรู้สึกง่วงเลย อาจจะเป็นเพราะตื่นเต้นที่ได้เห็นพิธีศักดิ์สิทธิ์นี้ หลังพิธีเราก็ไปต่อแถวรับน้ำที่ได้จากการล้างพระพักต์ เราไม่มีภาชนะไปใส่เหมือนชาวบ้านที่นี่แต่ชาวบ้านเขามีถุงพลาสติกเตรียมไว้เผื่อพวกเราด้วยค่ะ

บริเวรหน้าวัดก่อนรุ่งสาง

ระหว่างทำพิธี ไม่อนุญาตให้ผู้หญิงเข้าใกล้เกินรั้วกั้นค่ะ 
รับน้ำศักดิ์สิทธิ์หลังพิธีล้างพระพักต์
เล่าสู่กันฟัง: อีกชื่อที่คนรู้จักของพระมหามัยมุนีคือพระเจ้าเนื้อนิ่ม ด้วยเหตุที่มีคนศรัทธาเป็นจำนวนมาก ทำให้ผู้คนพากันมาปิดทองที่องค์พระจนผิวสัมผัสนิ่มค่ะ แต่เดิมประดิษฐานอยู่ที่รัฐยะไข่ และในสมัยพระเจ้าปดุง ได้อันเชิญข้ามแม่น้ำเอยาวดีมาที่เมืองมัณฑะเลย์แห่งนี้เมื่อปี พ.ศ. 2327

   เสร็จจากพิธี เรามุ่งหน้าด้วยแทกซี่คู่ใจไปสู่สถานที่โรแมนติกที่สุดของเมืองนี้และใครที่ไปที่นี่ก็ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงค่ะ สะพานอูเบ็ง สะพานไม้สักที่ยาวที่สุดในโลกยาวถึงสองกิโลเมตร แต่พวกเราเดินไปได้ไม่ถึงครึ่งทางก็เหนื่อยค่ะ ตอนเช้าของที่นี่มีทั้งพระสงฆ์สัญจร ผู้คนออกกำลังกายหรือเริ่มวันใหม่ของการดำเนินชีวิตโดยใช้สะพานแห่งนี้ในการข้ามทะเลสาบ"ตองตะมาน" สะพานนี้ใช้ไม้สักจากวังเก่าแห่งกรุงอังวะจำนวน 1,208 ต้น แต่ไม่ได้ได้นับนะ เขาว่ากันว่าค่ะ
ท่าเรือโดยสารริมทะเลสาบตองตะมาน

บรรยากาศยามเช้าที่ไม่ค่อยสดใสเท่าไหร่ค่ะ

วิถีชีวิตที่เรียบง่าย …หาปลากิน หาปลาขาย

แอบเหล่พระพม่า หรือว่าพระพม่าแอบเหล่?

แม่ค้าขายดอกไม้ เตรียมตัวแต่เช้าค่ะ

ส่งผักเข้าเมืองด้วยสองเท้าปั่นปั่น

นางน่าจะขายขนมค่ะ 

เล่าสู่กันฟัง: คนไทยอย่างเราๆอาจจะเคยได้ยินชื่อ อมรปุระ ก็คือที่นี่ค่่ะ บริเวรใกล้กันกับสะพานจะมีที่ทิ้งขยะเป็นบริเวรกว้างและปัจจุบันพบว่าที่นี่อาจจะเป็นที่เก็บอัฐิของอดีตกษัตริย์องค์ที่ 32 แห่งกรุงศรีอยุธยานั่นคือสมเด็จเจ้าฟ้าอุทุมพร แต่ยังไม่เป็นที่แน่ชัดนะค่ะ

   เสร็จสรรพก็ได้เวลากลับไปหาอะไรรองท้องที่โรงแรม ทานข้าวเช้าเสร็จค่อยไปต่อ ^__^
วันนี้เป็นอีกวันที่ยาวนานมากๆของทริปค่ะ เราไปที่ท่าเรือเพื่อเช่าเรือล่องแม่น้ำเอยาวดีไปยังมหาเจดีย์มิงกุนซึ่งอยู่ทางทิศเหนือไปอีกประมาณ 10 กิโลเมตร เราต้องจ่ายค่าเช่าเรือที่ท่าเรือค่ะ ไม่มีเรือจอยก็เหมามันทั้งลำเลย สนนราคาทั้งลำ ทั้งวัน 1,200 บาท หรือ 70,000 จ๊าด (ถ้าจำไม่ผิดนะ)
สำนักงาน ติดต่อเช่าเรือ

บรรยากาศการเจรจาต่อรองเป็นไปอย่างมิตร 

ลำใหญ่ไปมั๊ย แค่สี่คนโดยสารเองนะ
   แม่น้ำเอยาวดี (อิรวดี) มีต้นกำเนิดจากมณฑลยูนนานของประเทศจีน มีความยาวประมาณ 2,170 กิโลเมตร น้ำสีส้มๆแดงๆแบบนี้ทั้งปีค่ะ เพราะมันอุดมสมบูรณ์ไปด้วยเร่ธาตุต่างๆมากมาย
ระหว่างหลับๆตื่นๆบนเรือก็พอจะมองเห็นอะไรบ้าง อย่างเช่นบ้านเรือนผู้คนที่ตั้งอยู่บนเกาะกลางแม่น้ำ มันไม่ใช่บ้านถาวรค่ะ แต่เป็นบ้านที่เอาไว้มาอาศัยหลบแดดตอนกลางวันที่มาทำการเกษตรที่บนเกาะนั้นๆ

เล่าสู่กันฟัง: ที่ดินกลางน้ำนั้นจะมีราคาแพงกว่าที่ดินบนบก เพราะชาวบ้านเชื่อว่ามีแร่ธาตุอาหารมากเหมาะแก่การเพาะปลูก พวกเขาจะเลือกพืชอายุสั้นเพื่อที่เมื่อเพาะปลูกแล้วจะมีเวลาเก็บผลผลิตขายก่อนที่หน้าน้ำ/มรสุมจะมาถึงและไม่เหลือเกาะ/แผ่นดินให้ปลูกอีกจนกว่าน้ำจะลดในฤดูกาลถัดไป

บ้านเรือนริมน้ำ สวยงาม เรีบยง่าย

บ้านพักบังแดดระหว่างมาปลูกผักถากหญ้าที่เกาะกลางน้ำ
   เรือแล่นไปได้เกือบชั่วโมงก็ถึงท่าเทียบเรือเพื่อไปเยี่ยมชมมหาเจดีย์มิงกุน ที่นี่มีแทกซี่หน้าตาชิกๆคูลๆจอดรออยู่ จริงๆแล้วจะเดินไปก็ไม่ได้ไกลอะไรเลยค่ะ แต่ลุงแกยืนรอท่ามกลางแดดร้อน หน้าตาเศร้าๆ นางงามก็ใจอ่อนยอมขึ้นแทกซี่ลุงไปตามระเบียบ บังเอิญเด็กๆเลิกเรียนอีกแล้วค่ะ คราวนี้วิ่งตามขอไปด้วยเลย

ท่าเทียบเรือ แม่น้ำเอยาวดี

แทกซี่ของลุง 

เด็กๆอยากขึ้นแทกซี่ด้วย 
วันนี้ช่างเป็นการเดินทางที่แสนยาวววววนาน ขอเบรกไว้แค่นี้ก่อนนะ แล้วมาติมตามกันต่อว่าอีกครึ่งวันที่เหลือเราหมดไปกับอะไร

…คนชอบเที่ยว...หมดแรง...

No comments:

Post a Comment